เปาโล เกร์เรโร่ คือนักเตะระดับตำนานของทีมชาติเปรู และเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีม ด้วยเส้นทางอาชีพที่ยาวนานกว่า 20 ปี เขาเริ่มต้นแจ้งเกิดกับ บาเยิร์น มิวนิค ตั้งแต่อายุ 19 ปี 11 เดือน โดยได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ทั้งหมด 45 นัด ยิงได้ 13 ประตู และทำ 10 แอสซิสต์ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ กับเสือใต้ แต่เขาก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ยอดเยี่ยม ก่อนที่ในเวลาต่อมา จะย้ายไปค้าแข้งกับ ฮัมบูร์ก และกลายเป็นตัวหลักของทีมในทันที การย้ายสู่ “สิงห์เหนือ” ทำให้เขามีโอกาสลงสนามมากขึ้น และกลายเป็นศูนย์หน้าคนสำคัญของสโมสร โดยตลอด 6 ฤดูกาล เขาลงเล่นไป 183 นัด ยิงได้ 51 ประตู และทำ 29 แอสซิสต์ ก่อนจะตัดสินใจอำลายุโรปในวัย 28 ปี และมุ่งหน้าสู่ลีกบราซิลกับ โครินเธียนส์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอาชีพ เพราะนับแต่นั้น เขาไม่เคยกลับไปเล่นในยุโรปอีกเลย
ในลีกบราซิล เกร์เรโร่ สร้างชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในกองหน้าที่อันตรายที่สุด เขาผ่านการค้าแข้งกับสโมสรใหญ่หลายแห่ง ทั้งโครินเธียนส์, ฟลาเมงโก้, อินเตอร์นาซิองนาล และ Avai FC โดยสถิติของเขากับทีมในลีกบราซิลรวมแล้วอยู่ที่ 307 นัด ยิงได้ 121 ประตู และทำอีก 30 แอสซิสต์ แม้จะไม่ได้อยู่ในลีกยุโรป แต่เขายังคงรักษามาตรฐานของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม จนกระทั่งในวัย 39 ปี เขาได้ออกเดินทางอีกครั้ง ด้วยการย้ายไปเล่นในลีกอาร์เจนตินากับ ราซิ่งคลับ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายอาชีพ แต่ก็ยังคงมีบทบาทในสนาม โดยได้ลงเล่น 22 นัด ยิงได้ 3 ประตู และทำ 2 แอสซิสต์ ก่อนจะออกไปหาความท้าทายใหม่ในลีกเอกวาดอร์กับ LDU Quito ในวัย 40 ปี ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ เพราะเขาสามารถช่วยทีมคว้าแชมป์ลีก และแชมป์ Copa Sudamericana ได้ แม้ว่าในรอบชิงชนะเลิศเขาจะยิงจุดโทษพลาดก็ตาม
เมื่ออายุ 41 ปี เกร์เรโร่ กลับมาเล่นในบ้านเกิดกับ Club Alianza Lima ซึ่งเป็นสโมสรที่ให้โอกาสเขาได้ลงสนามในลีกเปรู และเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองยังไม่หมดไฟ ด้วยการยิง 3 ประตูจาก 3 นัดแรกในลีก ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพและความเป็นดาวยิงระดับตำนานที่ไม่เคยลดลง แม้จะอยู่ในช่วงปลายอาชีพ การที่เขายังคงสามารถทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม และเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเป็นมืออาชีพและความมุ่งมั่นของเขา