เซร์คิโอ รามอส ปราการหลังระดับตำนานวัย 39 ปี ยังคงแสดงให้โลกฟุตบอลได้เห็นถึงความยอดเยี่ยมและคลาสที่ไม่มีวันจางหาย หลังโชว์ฟอร์มสุดแข็งแกร่งใน ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก 2025 กลุ่ม E ที่สนามโรส โบว์ล สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเขานำทัพมอนเตอร์เรย์ลงสนามในฐานะกัปตันทีม คุมแนวรับอย่างมั่นคง และยังมีบทบาทสำคัญในจังหวะเกมรุก ซึ่ง culminated ในประตูสุดสำคัญที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ทันที เมื่อเขาทำสถิติเป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่ยิงประตูได้ในรายการฟุตบอลสโมสรโลก ด้วยวัย 39 ปี 2 เดือน 19 วัน ทำลายสถิติเดิมของฮาเวียร์ ซาเน็ตติ ที่เคยทำไว้ตอนอายุ 37 ปี 4 เดือน 5 วัน
เกมนี้ เซร์คิโอ รามอส ไม่เพียงแค่ยิงประตูได้ แต่ยังแสดงบทบาทในแนวรับอย่างยอดเยี่ยม เคลียร์บอลถึง 11 ครั้ง ชนะลูกกลางอากาศ 4 จาก 5 ครั้ง ตัดบอล 4 ครั้ง และบล็อกลูกยิง 2 ครั้ง โดยเฉพาะจังหวะประตูที่เขาทำได้ในนาทีที่ 25 จากลูกเตะมุมของโอลิเบร์ ตอร์เรส ซึ่งเป็นการยิงเข้ากรอบเพียงครั้งเดียวของมอนเตอร์เรย์ทั้งเกม แต่เปลี่ยนเป็นประตูได้อย่างเด็ดขาด และที่สำคัญ มันยังเป็นประตูที่ 5 ของรามอสจากการลงสนามเพียง 10 นัดกับต้นสังกัดใหม่อย่างมอนเตอร์เรย์ โดยที่ทั้งหมดเกิดจากลูกโหม่ง ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเขามาตั้งแต่ยุคเรอัล มาดริด และสะท้อนให้เห็นถึงการรักษามาตรฐานความอันตรายในลูกตั้งเตะอย่างไม่มีตก
แม้ว่าทั้งเกมอินเตอร์ มิลานครองบอลได้มากถึง 62% และสร้างโอกาสยิงถึง 15 ครั้ง แต่จบสกอร์ได้แค่ 2 ครั้งเข้ากรอบ ขณะที่มอนเตอร์เรย์มีโอกาสเพียง 10 ครั้ง และเข้ากรอบเพียงหนึ่งครั้งซึ่งก็คือประตูของรามอส ความเฉียบคมและความเก๋าของรามอสกลายเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัด โดยเฉพาะในเกมที่อินเตอร์พยายามเน้นการครองบอล แต่ยังไม่สามารถหาทางเจาะแนวรับของทีมจากเม็กซิโกได้มากนัก จนกระทั่งเลาตาโร่ มาร์ติเนซ ยิงตีเสมอในนาทีที่ 42 ทำให้จบเกมเสมอกัน 1-1 ซึ่งเป็นผลการแข่งขันที่สะท้อนว่ามอนเตอร์เรย์อาจไม่ได้มีอัตราการครองบอลสูง แต่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้อย่างเฉียบขาด และยิ่งตอกย้ำบทบาทสำคัญของรามอสในเกมนี้ที่คว้ารางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ไปครองได้อย่างไร้ข้อโต้แย้ง
อีกหนึ่งไฮไลต์ของเกมนี้คือการประเดิมคุมทีมอินเตอร์ มิลานของคริสเตียน คิวู ซึ่งยังต้องการเวลาในการปรับจูนทีมให้เข้าที่ โดยเฉพาะในแนวรุกที่แม้จะสร้างโอกาสได้มาก แต่ยังขาดความเฉียบขาดและการเจาะทะลุแนวรับที่มีประสบการณ์สูงอย่างรามอส การที่รามอสยังสามารถทำผลงานได้ในระดับสูงเช่นนี้ ทั้งที่อายุเกือบ 40 ปี ถือเป็นบทพิสูจน์ชั้นยอดของนักเตะที่มีความเป็นมืออาชีพสูงสุด และยังคงดูแลร่างกายได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแค่สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเตะรุ่นหลัง แต่ยังส่งสารสำคัญถึงแฟนบอลและผู้ชมทั่วโลกว่า “อายุเป็นเพียงตัวเลข” เมื่อความมุ่งมั่นยังไม่เคยลดน้อยลง