ราฮีม สเตอร์ลิ่ง คือนักฟุตบอลที่มีความเร็ว ความคล่องตัว และแนวทางการเล่นที่เหมาะสมต่อการโจมตีจากด้านข้าง แต่อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเขาต้องตกอยู่ภายใต้การคุมทัพของ อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือที่มีสไตล์การเล่นแบบเฉพาะตัว และมีประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนในการปรับ “ปีก” ให้กลายเป็น “วิงแบ็ก”
ในระบบ 3-4-3 หรือ 3-5-2 ซึ่งเป็นระบบที่คอนเต้ช่ำชอง วิงแบ็กไม่ใช่แค่ผู้เล่นริมเส้นธรรมดาที่เติมเกมรุกได้ แต่ต้องรับมือเกมรับได้ดีด้วย และการเปลี่ยนแปลงบทบาทของนักเตะที่เคยเล่นเกมรุกเป็นหลัก ให้กลายมาเป็นฟันเฟืองสำคัญในทั้งสองด้านถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้เล่นอย่าง สเตอร์ลิ่ง ที่ไม่เคยถูกใช้งานเฉพาะเจาะจงในบทบาทนี้มาก่อน
อย่างที่โลกฟุตบอลเคยเห็น คอนเต้ไม่ลังเลใจเมื่อต้องปรับนักเตะให้เหมาะกับระบบและแผนการเล่นของเขา — วิคเตอร์ โมเซส ถูกเปลี่ยนจากปีกขวาที่แทบไม่มีที่ยืนกลายเป็นวิงแบ็กที่เปล่งประกายที่สุดในยุคที่เชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016/17 อีวาน เปริซิช ที่เคยเป็นอีกหนึ่งปีกจอมเก๋ายังถูกแปลงให้กลายเป็นวิงแบ็กฝั่งซ้ายที่เล่นได้ในระดับสูง ทั้งในเวทีเซเรียอากับอินเตอร์ มิลาน และในพรีเมียร์ลีกกับสเปอร์ส ขณะที่ แอชลี่ย์ ยัง เองก็ได้กลายเป็นตัวหมุนหลักในระบบหลังสามของอินเตอร์ มิลานภายใต้การจัดทัพของคอนเต้
แล้วสเตอร์ลิ่งล่ะ? เขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ของคอนเต้ในการเปลี่ยนจากหัวหอกเกมรุกให้กลายเป็น “ผู้เติมเกมรับ” หรือไม่ หรืออาจมีแผนสำรองอื่นที่แนบเนียนกว่านั้น อาทิ การใช้งานในบทบาทกองหน้าคู่ หรือหมายเลข 10 ที่เพรสแบบเต็มระบบ
สิ่งที่แน่นอนคือ สเตอร์ลิ่ง ต้องแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถปรับตัวเข้ากับแท็คติกของคอนเต้ได้ หากต้องการมีที่ยืนในแผนของกุนซืออิตาเลียนคนนี้ และหากเขาทำได้ นี่อาจกลายเป็นการฟื้นความเฉียบคมในอาชีพของเขาอีกครั้ง—เสมือน โมเซส, เปริซิช หรือ แอชลี่ย์ ยัง ที่ผ่านมือคอนเต้และสร้างนิยามใหม่ให้แก่ชีวิตค้าแข้งของตัวเอง
จุดเปลี่ยนอาชีพของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กำลังรออยู่ตรงหน้า แต่ทุกคำตอบจะเริ่มต้นที่สิ่งเดียว—“ตำแหน่งในสนาม” ที่คอนเต้จะมอบหมายให้เขา