หากไม่ล้มดีลเสียก่อน ชื่อของ “เดวิด ฮันส์โค่” อาจถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรเฟเยนูร์ด ในฐานะนักเตะที่ถูกขายได้แพงที่สุด ด้วยค่าตัวมหาศาลจาก อัล นาสเซอร์ สโมสรเงินถังแห่งซาอุดีอาระเบียที่พร้อมจ่ายถึง 35 ล้านยูโรเพื่อดึงเขาไปร่วมทีม ทว่า…เมื่อข้อตกลงล่มกลางอากาศ และเจ้าตัวต้องหันหลังให้ตะวันออกกลาง ดีลดังกล่าวจึงกลายเป็นเพียงแค่ “เกือบ” ที่ทำให้เกิดคำถามว่า เขาสมควรเจอเรื่องแบบนั้นจริงหรือ?
ช่วงเวลาสั้นๆ กลางแดนทะเลทรายที่เต็มไปด้วยเงินและความหรูหรา ความฝันของฮันส์โค่ดูเหมือนจะกลายเป็นจริง หลังเขาเดินทางไปถึงซาอุดีอาระเบีย พร้อมเข้ารับการตรวจร่างกายที่อัล นาสเซอร์แบบเต็มขั้น ตอนนั้นหลายฝ่ายเชื่อว่าทุกอย่าง “น่าจะจบ” แล้ว ทว่าไม่นานนัก สโมสรกลับประกาศล้มดีลอย่างเป็นทางการโดยไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจน ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับการถอดหัวใจนักเตะออกมาต่อหน้าสาธารณชน
แต่แทนที่จะยอมแพ้… เดวิด ฮันส์โค่ ตอบกลับความงี่เง่านั้นด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ฝีเท้าและความสามารถ” เขากลับสู่อ้อมกอดของยุโรปและได้โอกาสใหม่จาก แอตเลติโก มาดริด ที่พร้อมดึงเขาไปร่วมเติมเต็มแนวรับของทีมด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร แม้มูลค่าอาจน้อยกว่าข้อเสนอเดิม แต่โอกาสและความท้าทายในแชมเปี้ยนส์ลีก คือสิ่งที่เงินก็ซื้อไม่ได้
การย้ายมาอยู่กับ “ตราหมี” ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่เฟเยนูร์ดขายได้แพงเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร ซึ่งยังถือว่าเป็นดีลที่น่าจดจำ ด้วยความต่างเพียง 5 ล้านยูโร จากการเป็นอันดับ 1 แต่กลับเพิ่มมูลค่าให้ตัวนักเตะเองในแง่ของประสบการณ์ในลาลีกา, การได้กลับมาเล่นในฟุตบอลถ้วยยุโรป และการแสดงให้โลกเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นแค่เหยื่อของระบบธุรกิจฟุตบอลที่เลือกปฏิบัติ
วันนี้ เดวิด ฮันส์โค่ อาจยังไม่ใช่นักเตะที่เฟเยนูร์ดขายได้แพงที่สุด แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาแทนค่าคือ “ความภาคภูมิใจ” เส้นทางอาชีพในลีกใหญ่ และโอกาสลงสนามพิสูจน์สิ่งที่สโมสรเก่าของเขาควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ปลุกปั้นแข้งรายนี้ขึ้นมา
เพราะจริงๆ แล้ว…คุณค่าของนักเตะ ไม่ได้ถูกวัดด้วยแค่ตัวเลข